โฆษณาบน Google Ads

Google Ads (เดิมคือ Google AdWords และ Google AdWords Express) เป็นโซลูชันการโฆษณาออนไลน์ที่ธุรกิจต่าง ๆ ใช้ในการโปรโมตผลิตภัณฑ์และบริการของตนบน Google Search, YouTube และเว็บไซต์อื่นๆ ทั่วทั้งอินเทอร์เน็ต นอกจากนี้ Google Ads ยังลงโฆษณา แบบเจาะกลุ่มเป้าหมายได้ โดยผู้ลงโฆษณาที่มีบัญชี Google Ads จะกำหนดงบประมาณและการกำหนดเป้าหมาย รวมทั้งเริ่มต้นหรือหยุดโฆษณาได้ทุกเมื่อ

CPC (cost-per-click) หรือ ราคาต่อหนึ่งคลิก และ PPC (pay-per-click) หรือ จ่ายต่อคลิก คือ รูปแบบการโฆษณาที่คุณจะจ่ายค่าโฆษณาเฉพาะเมื่อมีผู้คลิกโฆษณาดังกล่าวเท่านั้น รูปแบบการโฆษณาอื่นๆ ได้แก่

• CPV (cost-per-view) หรือ ราคาต่อการแสดงผล ซึ่งคุณจะจ่ายตามจำนวนครั้งที่โฆษณาแสดง (ไม่ใช่เมื่อมีผู้คลิกโฆษณา)
• CPM (cost-per-impression) หรือ ราคาต่อการมีส่วนร่วม ซึ่งคุณจะจ่ายเมื่อผู้ใช้ทำตามการมีส่วนร่วมที่กำหนดไว้ล่วงหน้า (เช่น การดูโฆษณาวิดีโอ) จนเสร็จ

Smart Campaign เป็นโซลูชันการโฆษณาที่ออกแบบมาเพื่อช่วยธุรกิจขนาดเล็กในการโปรโมตผลิตภัณฑ์และบริการของตนทางออนไลน์ Smart Campaign ช่วยให้ผู้ลงโฆษณาสามารถเลือกเป้าหมายทางธุรกิจและสถานที่ที่ต้องการโฆษณาได้ จากนั้น Google จะใช้แมชชีนเลิร์นนิงเพื่อสร้างผลลัพธ์ตามเป้าหมายเหล่านั้น แคมเปญเหล่านี้ใช้เทคโนโลยีอัจฉริยะเพื่อตรวจสอบและปรับปรุงประสิทธิภาพโฆษณาของคุณอย่างต่อเนื่องคุณจึงสามารถใช้เวลากับ
งานอื่นๆ ของธุรกิจได้

ระยะเวลาที่ Google Ads จะแสดงผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพสำหรับแต่ละธุรกิจและอุตสาหกรรมนั้นแตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นยอดขายหรือการดึงดูดลูกค้าเป้าหมาย (lead) มีหลายปัจจัยที่ทำให้แคมเปญ Google Ads ประสบความสำเร็จ ซึ่งรวมถึงการตั้งค่าที่ถูกต้อง เนื้อหาโฆษณา และเว็บไซต์ที่ใช้งานง่ายและเหมาะสำหรับการสร้างการเปลี่ยนใจ (conversion)

สำหรับแคมเปญการค้นหา คุณอาจเห็นผลลัพธ์ได้อย่างรวดเร็วภายในไม่กี่วันหรือไม่กี่สัปดาห์ หากทุกอย่างตั้งค่าอย่างถูกต้องและงบประมาณของคุณสอดคล้องกัน ในทางกลับกัน Google Display Network อาจใช้เวลานานกว่าในการสร้างผลลัพธ์ อย่างไรก็ตาม การที่แคมเปญ Google Ads ใหม่จะพัฒนาอย่างเต็มที่และรวบรวมข้อมูลที่จำเป็นสำหรับการปรับปรุงให้เหมาะสมอาจใช้เวลาอย่างน้อย 3 เดือน

โฆษณาแบบจ่ายต่อคลิก (PPC หรือ pay-per-click) ที่มีประสิทธิภาพจะต้องเชื่อมโยงกับความต้องการของผู้ใช้งาน โฆษณาที่ดีที่สุดจะดึงดูดกลุ่มเป้าหมายได้ในเวลาที่เหมาะสม และให้คำตอบหรือวิธีแก้ปัญหาแก่สิ่งที่พวกเขาค้นหา

Google จะกำหนดคะแนนคุณภาพ (quality score) ให้กับโฆษณาบนผลการค้นหาหลังจากประเมินคีย์เวิร์ดที่ใช้ร่วมกับหน้า Landing Page และเนื้อหาโฆษณา อันดับคะแนนนี้จะเป็นตัวกำหนดอันดับโฆษณา ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดราคาต่อคลิก (CPC หรือ cost-per-click) และตำแหน่งของโฆษณาในหน้าผลการค้นหา

เพื่อให้ได้คะแนนคุณภาพที่ดีที่สุด กลุ่มโฆษณาควรจัดระเบียบส่วนต่างๆ ของเว็บไซต์ ยกตัวอย่างร้านค้าแฟชั่นออนไลน์ แคมเปญที่เน้นรองเท้าสตรีอาจจะมีกลุ่มโฆษณาแยกสำหรับรองเท้าแต่ละสไตล์ ด้วยเหตุนี้ คีย์เวิร์ด เนื้อหาโฆษณา และหน้า Landing Page จะมีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับสิ่งที่ผู้ใช้ค้นหา

โฆษณาที่มีประสิทธิภาพสูงสุดจะเน้นถึงประโยชน์หรือคุณสมบัติหลักของบริการที่กำลังโปรโมต และมีคำกระตุ้นการตัดสินใจ (CTA หรือ call-to-action) ซึ่งเป็นกิจกรรมเฉพาะที่คุณต้องการให้ผู้ใช้ดำเนินการต่อบนเว็บไซต์ของคุณ

เพื่อให้โฆษณาของคุณขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งสูงสุดบนหน้าแสดงผลการค้นหา สิ่งสำคัญคือ ต้องเข้าใจก่อนว่า Google คำนวณอันดับโฆษณา (Ad Rank) อย่างไร?

อันดับโฆษณาของ Google (Google Ad Rank)

การประมูลจะถูกใช้เพื่อกำหนดตำแหน่งของโฆษณาภายในหน้าแสดงผลลัพธ์การค้นหา (SERP หรือ Search Engine Results Page) แต่ไม่เหมือนกับการประมูลอื่น ๆ ผู้ที่เสนอราคาสูงสุดไม่จำเป็นจะต้องเป็นผู้ชนะเสมอไป ในการประมูลโฆษณาของ Google จำนวนเงินที่เสนอเป็นเพียงปัจจัยหนึ่งที่ใช้ในการกำหนดอันดับโฆษณาโดยรวม คะแนนอันดับโฆษณาเป็นตัวกำหนดตำแหน่งโฆษณาในผลการค้นหา ปัจจัยอื่นๆ ที่ประกอบกันเป็นอันดับโฆษณาของ Google มีดังนี้:

• ราคาที่คุณเสนอ
• คุณภาพของโฆษณาและหน้า Landing Page ของคุณ
• เกณฑ์อันดับโฆษณา (Ad Rank Threshold)
• การแข่งขันในการประมูล
• บริบทของการค้นหา
• ผลกระทบที่คาดว่าจะได้รับจากส่วนขยายโฆษณา (ad extension) และรูปแบบโฆษณาอื่นๆ

Google คำนวณอันดับโฆษณาโดยใช้สูตรต่อไปนี้:

"อันดับโฆษณาคำนวณโดยใช้จำนวนเงินที่คุณเสนอ คุณภาพโฆษณาในขณะที่ประมูลเกิดขึ้น (ซึ่งรวมถึงอัตราการคลิกผ่านที่คาดหวัง ความเกี่ยวข้องของโฆษณา และประสบการณ์ในหน้า Landing Page) เกณฑ์อันดับโฆษณา การแข่งขันในการประมูล บริบทของการค้นหาของบุคคลนั้น (ตัวอย่างเช่น ตำแหน่งของบุคคล อุปกรณ์ เวลาที่ค้นหา ลักษณะของคำค้นหา โฆษณาอื่นๆ และผลการค้นหาที่แสดงบนหน้าและสัญญาณและคุณลักษณะอื่นๆ ของผู้ใช้) และผลกระทบที่คาดว่าจะได้รับจากทรัพย์สิน (asset) และรูปแบบโฆษณาอื่นๆ" เพื่อให้โฆษณาของคุณเป็นอันดับหนึ่ง คุณต้องคำนึงถึงความเกี่ยวข้องและประสบการณ์ของผู้ใช้อย่างรอบคอบ และอย่าลืมว่าปัจจัยการจัดอันดับโฆษณาไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่สิ่งที่ลูกค้าเป้าหมายของคุณเห็นในหน้าแสดงผลลัพธ์การค้นหาเท่านั้น ประสบการณ์ผู้ใช้งาน (UX) บนหน้า Landing Page ก็ต้องยอดเยี่ยมเช่นกัน