เวลาทำการ จันทร์ - ศุกร์ เวลา 09.00 - 19.00 น.
วิกฤตการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบที่ทำให้เกิด ชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) เริ่มตั้งแต่พฤติกรรมในการดำเนินชีวิตของผู้คนที่เปลี่ยนไปจากเดิม การออกไปทำธุระข้างนอกต้องสวมหน้ากากอนามัยไปด้วยทุกครั้ง ขณะเดียวกัน ยังทำให้เกิด Covid Disruption ในโลกธุรกิจ นั่นหมายถึงธุรกิจในช่วงยุคโควิด ต้องปรับตัวจากการทำการตลาดรูปแบบเดิมๆ ที่เน้นช่องทางออฟไลน์ มาเป็นกลยุทธ์การตลาดที่ให้ความสำคัญกับ “ดิจิทัล” มากยิ่งขึ้น พร้อมไปกับการพัฒนาบริการ Digital Marketing Services ให้ครบทุกด้าน เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่
ในวันนี้ เราจะมาสรุปกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจแบบ “6R New Normal Digital Marketing Strategy” เพื่อให้ธุรกิจที่อยากอยู่รอดในปี 2022 และปีถัดไป ได้นำไปประยุกต์ใช้กัน…
หลังจากเกิดมาตรการล็อกดาวน์หลายพื้นที่ในประเทศ ทำให้ผู้คนต้องใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่แต่ในบ้าน “สมาร์ทโฟน” ได้กลายมาเป็นปัจจัยที่ 5 ในการดำเนินชีวิตไปโดยปริยาย จากการใช้งานที่หลากหลาย สะดวกสบาย สามารถทำทุกอย่างได้บนอุปกรณ์เดียว เช่น การดูซีรีส์หรือภาพยนตร์ผ่านแพลตฟอร์ม Steaming การสั่งอาหารผ่านแอปฯ การสั่งซื้อสินค้าผ่านแพลตฟอร์ม E-commerce จนอาจเรียกได้ว่า ผู้คนส่วนใหญ่ในยุคโควิดได้ปรับตัวเป็น Digital Consumer เป็นที่เรียบร้อยแล้ว…
เมื่อผู้คนปรับตัว ธุรกิจก็ต้องปรับตัวเช่นกัน เริ่มจากการปรับกลยุทธ์ธุรกิจเป็น Digital Marketing Strategy ในทันที เน้นพัฒนา Digital Marketing Services เน้นสร้างตัวตนบนแพลตฟอร์มออนไลน์ทุกช่องทาง ทั้ง Facebook, Instagram, Website หรือ TIKTOK เพื่อให้ลูกค้าสามารถเห็นธุรกิจของคุณได้ง่ายๆ ไปจนถึงการทำ Omni-Channel Marketing หรือการเชื่อมต่อช่องทางการขายทั้งออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกันแบบไร้รอยต่อ ตัวอย่างเช่น ร้านอาหารเชิญชวนให้ลูกค้าสแกนเพิ่มเพื่อนใน Line OA เพื่อมอบสิทธิพิเศษต่างๆ ซึ่งจะช่วยสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างแบรนด์และลูกค้าได้อีกทางหนึ่ง
การพัฒนาธุรกิจอย่างไม่หยุดยั้ง จะทำให้ธุรกิจของคุณก้าวนำคู่แข่งได้แบบไม่เห็นฝุ่น และโดยเฉพาะการทำธุรกิจในยุคดิจิทัลที่มีโอกาส “ปัง” ได้ง่ายกว่าในอดีต เช่น บริษัท Start Up ที่มีไอเดียการตลาดที่สดใหม่และดึงดูดใจผู้บริโภค ก็มีสิทธิ์ทำยอดขายได้มากกว่าบริษัทยักษ์ใหญ่ที่เปิดขายสินค้าชนิดเดียวกันมานานกว่า 10 ปีได้ในเวลาไม่นาน ธุรกิจจึงต้องพร้อม Disrupt ตัวเองโดยที่ไม่ต้องรอใคร เพราะหากเรารู้ทันและเริ่มได้เร็ว โอกาสสำเร็จก็ยิ่งเพิ่มสูงขึ้น
ดังนั้น หากคุณมีไอเดียธุรกิจใหม่ๆ ให้รีบลงมือทำ ลองผิดลองถูก ติดตามผลอย่างต่อเนื่อง จนพบแนวทางที่เหมาะสมที่สุด จากนั้นเดินหน้าพัฒนาอย่างเต็มกำลัง
เพราะการมอบประสบการณ์การซื้อขายที่ดีตั้งแต่ต้นจนจบ จะทำให้ลูกค้าตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าของคุณและเกิดการซื้อซ้ำในอนาคต
ตั้งแต่การนำเสนอข้อมูลของตัวผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่นและแตกต่างจากแบรนด์อื่น การทำให้ลูกค้าค้นเจอสินค้าของคุณได้โดยง่าย ทั้งบนเว็บไซต์เสิร์ชเอนจินหรือแพลตฟอร์ม E-commerce ขั้นตอนการชำระเงินที่สะดวกและปลอดภัย การขนส่งถึงที่หมายอย่างรวดเร็ว รวมถึงการบริหารหลังการขายที่สร้างความประทับใจให้กับลูกค้า
ขณะเดียวกัน ต้องบอกว่าผู้บริโภคยุคใหม่เปลี่ยนใจได้ง่ายมากๆ หากพบว่าแพลตฟอร์มหรือแบรนด์สินค้าที่เลือกใช้ มอบประสบการณ์ที่ไม่ดีให้ ก็พร้อมจะเปลี่ยนมาใช้แบรนด์อื่นที่มีคุณภาพตรงใจมากกว่า หรือเมื่อพบเจอประสบการณ์ที่เลวร้าย ก็พร้อมเปลี่ยนจากความไม่พอใจเป็นการโพสต์รีวิวเชิงลบบนโลกโซเชียล ซึ่งอาจส่งผลร้ายต่ออนาคตของแบรนด์นั้นๆ เหมือนที่เราเห็นได้จากหลายเคสที่ผ่านมา
นักการตลาดจึงต้องสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า (Customer Experience) ด้วยการสร้างความต่อเนื่องในการสื่อสาร สร้างประสบการณ์ที่ดีในทุกช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นออฟไลน์ ออนไลน์ หรือช่องทางโซเชียลมีเดียต่างๆ รวมถึงใส่ใจเรื่อง Digital Marketing Services เพื่อรักษาความสัมพันธ์และดึงดูดให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ
ในยุคที่สินค้าแต่ละประเภทมีตัวเลือกมากมาย ผู้บริโภคก็พร้อมเปลี่ยนไปใช้ผลิตภัณฑ์ที่ถูกใจมากกว่า เมื่อบวกกับแพลตฟอร์ม E-commerce ที่แข่งขันกันที่ความเร็ว เช่น ความเร็วในการให้บริการหรือความเร็วในการจัดส่ง ยิ่งทำให้ความอดทนของผู้คนต่ำลง นั่นหมายความว่าถ้าแบรนด์ไหนให้คำตอบได้ไม่ชัดเจนหรือไม่สอดคล้องกับสิ่งที่ผู้บริโภคต้องการ สินค้าของคุณก็พร้อมถูกปัดตกในทันที
ธุรกิจที่อยากรอด จึงต้องเริ่มคำนึงถึงการตลาดแบบรู้ใจกลุ่มเป้าหมาย (Personalization Marketing) หรือการตลาดที่โฟกัสกลุ่มคนที่สนใจในผลิตภัณฑ์ของคุณจริงๆ เพื่อเพิ่มโอกาสปิดการขายและรักษาฐานลูกค้าหน้าใหม่และหน้าเก่าให้อยู่กับธุรกิจไปนานๆ
การจัดแคมเปญใส่ใจสิ่งแวดล้อม หรือการทำธุรกิจที่ไม่เอาเปรียบสังคม ถือเป็นวิธีสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับองค์กรธุรกิจมาเนิ่นนาน แต่เนื่องจากปัญหามากมายที่รุมเร้าสังคมในปัจจุบัน ได้ส่งผลให้ผู้บริโภคเต็มใจที่จะสนับสนุนแบรนด์สินค้าที่มีจริยธรรมมากกว่าแบรนด์ที่ไม่ได้สนับสนุนเรื่องดังกล่าว
ขณะเดียวกัน ธุรกิจก็ไม่สามารถหลอกลวงผู้บริโภคได้ เพราะมีข้อมูลที่สามารถตรวจสอบได้มากมายบนโลกออนไลน์ ซึ่งหากผู้บริโภคจับได้ว่าธุรกิจไหนมีการทุจริตหรือหลอกลวง ธุรกิจนั้นก็เตรียม “พัง” ได้เลยทีเดียว
หลังจากที่ผู้คนเริ่มคุ้นชินกับวิถีชีวิตแบบ New Normal ก็ทำให้เกิดไลฟ์สไตล์ใหม่ที่เรียกว่า “Home-centric” นั่นคือศูนย์กลางการใช้ชีวิตของผู้คนส่วนใหญ่อยู่ที่บ้านหรือที่พักอาศัยแบบต่างๆ เช่น การสั่งอาหารมาทานที่บ้าน การทำงานแบบ Work from Home ซึ่งจากเดิมที่พนักงานต้องเข้าออฟฟิศ 5 วันต่อสัปดาห์ ก็อาจเปลี่ยนเป็น 2-3 วันต่อสัปดาห์ หรือบางแห่งอาจไม่ต้องเข้าออฟฟิศเลย ซึ่งมีการคาดการณ์ว่า หลังการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง บริษัทหลายแห่งก็จะยังคงให้พนักงาน Work from Home ต่อไป
ดังนั้น ธุรกิจที่อยากจะมูฟออน ต้องเริ่มคิดถึงกลยุทธ์การตลาดที่เจาะกลุ่ม Home-centric เป็นหลัก เช่น โปรโมชั่นที่ตอบโจทย์ การพัฒนาแอปฯ และเว็บไซต์ที่มีการใช้งานเหมาะกับอุปกรณ์ต่างๆ ของผู้บริโภค การพัฒนาระบบการขนส่งที่รวดเร็วทันใจ หรือการวางกลยุทธ์ Digital Marketing Services ให้ชัดเจน เป็นต้น
ที่มา : https://bit.ly/Ref6RNewNormal