เวลาทำการ จันทร์ - ศุกร์ เวลา 09.00 - 19.00 น.
ผู้ประกอบการหลายท่านที่ทำการตลาดออนไลน์ มักรู้จักมาตรวัดเบื้องต้น อย่าง Engagement, Reach, Impression ฯลฯ ซึ่งเป็นมาตรวัดสำหรับวัดค่าความน่าสนใจของคอนเทนต์นั้น ๆ เพื่อนำมาพัฒนา และปรับปรุงคอนเทนต์ในแง่ของการขาย แต่วัดค่าความสำเร็จในแง่ของการทำแคมเปญโฆษณา หรือความคุ้มค่าของรายรับรายจ่าย และกำไรที่ได้กลับมานั้น ต้องใช้มาตรวัด 2 นี้ อย่าง ค่า ROI และ ROAS นั่นเอง
ค่า ROI ย่อมาจากคำว่า "Return on Investment" ซึ่งแปลว่า "ผลตอบแทนจากการลงทุน" หรือ "กำไรที่ได้จากการลงทุน" ในทางทั่วไป ROI ใช้เพื่อวัดผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนใด ๆ โดยนับจากกำไรหรือขาดทุนที่ได้ต่อระยะเวลาที่ลงทุนนั้น ๆ ซึ่งมีวิธีคิดค่า ROI ดังนี้
ROI = ยอดขาย - ต้นทุนทั้งหมดที่ลงทุนไป / เงินลงทุนทั้งหมด x 100
(10,000 - 1,000) / 1,000 x 100 = 900
ค่า ROI คือ 900 เท่ากับว่า ความคุ้มค่าที่ได้กลับมาจากการลงทุนครั้งนี้คือ 900%
ค่า ROI มีประโยชน์ในการวัดประสิทธิภาพของการลงทุน และช่วยให้นักลงทุนตัดสินใจลงทุน วางแผนงบประมาณในการทำการตลาดได้แม่นยำมากขึ้น โดยการพิจารณากำไร หรือขาดทุนที่คาดว่าจะได้รับในอนาคต ต่องบประมาณสำหรับลงทุนในปัจจุบัน ดังนั้น การคำนวณค่า ROI ยิ่งสูง ก็ยิ่งแสดงให้เห็นถึงการประสบความสำเร็จของการลงทุน ในทางกลับกัน ค่าที่ติดลบนั้น หมายถึงการขาดทุนจากการลงทุนนั้น ๆ นั่นเอง
ค่า ROAS ย่อมาจากคำว่า "Return on Advertising Spend" หรือ "ผลตอบแทนต่อการใช้งบประมาณโฆษณา" ซึ่งเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ใช้ในการวัดประสิทธิภาพของกิจกรรมโฆษณา หรือการลงทุนในการยิงโฆษณาผ่านช่องทางออนไลน์ ซึ่ง ROAS คือส่วนหนึ่งของการวัดผลตอบแทนทางการตลาดที่ได้กลับมาจากงบประมาณที่เสียไปกับการโฆษณาเท่านั้น ไม่รวมงบประมาณอื่น ๆ สำหรับการลงทุนในส่วนอื่นๆ โดยมีสูตรคำนวณดังนี้
ROAS = รายได้จากแคมเปญโฆษณา / ค่าโฆษณาตลอดแคมเปญ
(100,000 / 50,000 = 2)
ค่า ROAS คือ 2
เท่ากับว่า โฆษณาสร้างยอดขายได้ 2 เท่าของงบโฆษณาทั้งหมดที่จ่ายไปนั่นเอง
ในยุคดิจิทัลที่การติดตาม และวัดผลลัพธ์ของโฆษณาเป็นสิ่งสำคัญ ค่า ROAS จึงมีความสำคัญในการวางแผน และประเมินผลลัพธ์ของโฆษณา สำหรับวิเคราะห์เพื่อปรับแผนการตลาด สามารถปรับลด หรือเพิ่มงบประมาณโฆษณาในแต่ละแคมเปญ เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่คาดหวังในอนาคตได้
เพราะเรื่องหนักใจของผู้ประกอบการทั้งรายใหญ่และรายย่อย มักจะเป็นเรื่องที่ลงทุนไปเท่าไหร่ก็ไม่ได้กำไร และยังขาดทุนซ้ำ ๆ ซึ่งอาจมีหลายสาเหตุด้วยกัน เช่น ต้นทุนสินค้าสูงกว่าราคาขาย ไม่ได้คำนวณภาษี ลืมคำนวณค่าใช้จ่ายทั่วไป ค่าบริการ ค่าจิปาถะที่มองไม่เห็น เป็นต้น เพื่อที่จะได้แก้ปัญหาให้ตรงจุด
ผู้ประกอบการจึงต้องมีความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการคำนวณกำไรขาดทุน และเข้าใจในมาตรวัดเกี่ยวกับความคุ้มค่าของงบประมาณที่ลงทุนไป สามารถประเมินกำลังและความสามารถในการลงทุนในอนาคตได้ เพื่อลดความเสี่ยงในการขาดทุนให้น้อยที่สุด!
ค่า ROI และ ROAS เป็นเพียงส่วนหนึ่งของมาตรวัดทั้งหมดเท่านั้น หากมีมาตรวัดอื่นๆ และสูตรคำนวณที่น่าสนใจ Nipa agency จะมาแชร์ให้เหล่านักธุรกิจ พ่อค้า แม่ค้าออนไลน์ และผู้ประกอบการได้ ได้เติมความรู้ด้านการตลาด และเพื่อให้ไม่พลาดข่าวสาร เทรนด์ใหม่ ๆ ติดตามเราได้ที่