เวลาทำการ จันทร์ - ศุกร์ เวลา 09.00 - 19.00 น.
Canonical Tags เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ของ Technical SEO ที่น้อยคนจะรู้จัก ซึ่งหลายๆคนมักคิดว่า หากอยากจะเน้นคีย์เวิร์ดไหน ต้องลงบทความเรื่องนั้นเยอะๆ แน่นอนว่าการทำแบบนี้ Google Algorithm จะมองว่าเป็น Duplicate Content ส่งผลให้เว็บไซต์ของเราถูกเมิน และไม่โชว์ที่หน้าการค้นหานั่นเอง
Canonical Tags คือ Tags ที่มีหน้าที่บอก Google ว่า URL ภายใต้แท็กนี้ คือหน้าต้นฉบับในกรณีที่มีคอนเทนต์เนื้อหาคล้ายๆกันจำนวนมากในเว็บไซต์ เพื่อไม่ให้บอทมาเก็บข้อมูลเราผิดหน้า และไม่มองว่าเป็น Duplicate Content ซึ่งหากเราไม่ใส่ Canonical Tags อาจะทำให้ Google ไม่ถูกใจสิ่งนี้ และจัดอันดับเว็บเราไว้ต่ำนั่นเอง
เวลาเราค้นหาข้อมูล Google จะนำเว็บไซต์ที่มีข้อมูลตรงกับการค้นหา และมีประโยชน์มากที่สุด ขึ้นมาไว้อันดับแรกๆ บนหน้าการค้นหา ซึ่งการที่เราทำคอนเทนต์คล้ายๆกันจำนวนมากนั้น ทำให้บอทที่วิ่งเข้ามาเก็บข้อมูลตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเก็บข้อมูลหน้าไหนดี ทำให้บางทีบอทอาจจะเลือกเก็บข้อมูลในหน้าที่เราไม่ต้องการนั่นเอง
การใส่ Canonical Tags แบบนี้เหมือนกับหลักการเขียนโค้ดทั่วไป โดยต้องวางโค้ดไว้ในส่วน Head ของหน้าที่ต้องการ แล้วใส่ URL ของหน้าหลักไว้ภายในเครื่องหมาย “...” ในตัวอย่าง
โค้ดตัวอย่าง :
สมมติว่า https://nipashop.co.th/service-seo/ คือหน้าหลัก แล้วยังมีหน้า B ที่มีเนื้อหาคล้ายกันกับหน้าหลัก ให้เราใส่แท็ก Canonical ไว้ที่ส่วน Head ของหน้า B ดังตัวอย่าง
ตัวอย่างการใส่ : https://nipashop.co.th/service-seo/” />
ซึ่งการทำแบบนี้อาจจะต้องอาศัยความรู้เรื่องการเขียนโค้ดเล็กน้อย เพราะถ้าหากเราใส่ผิดจุด หรือเขียนผิดไปแม้แต่ตัวเดียวจะทำให้รันโค้ดไม่ได้นั่นเอง
หากคุณใช้ Wordpress อยู่แล้ว สามารถติดตั้งปลั๊กอิน Yoast SEO เพื่อลดความยุ่งยากได้เลย โดยวิธีการทำมีดังนี้ครับ
1.ติดตั้ง Yoast SEO ใน Wordpress
2.เข้าไปหน้าที่ต้องการทำ Canonical แล้วเลื่อนหาเครื่องมือ Yoast SEO (อยู่ด้านล่าง) จากนั้นกดที่คำว่า “Advanced”
3.ใส่ URL ของหน้าหลักลงไปในช่อง Canonical URL *ต้องใส่ URL ให้ถูกต้อง*
เป็นหน้าที่มีเนื้อหาคล้ายๆกันกับที่เคยมีอยู่แล้ว หรือมี Focus Keyword เป็นคำเดียวกัน
ลักษณะนี้จะพบมากในเว็บ E-Commerce โดยจะมีสินค้าที่คล้ายๆกัน ต่างกันที่ขนาด สี ราคา
หน้าที่เป็น URL Parameters หรือ UTM ที่มีไว้ใช้ Tracking Data ของผู้ใช้งานในเว็บไซต์ ที่มีหลากหลายจุดประสงค์ และถึงแม้ว่าเราอาจจะมองว่าหน้านั้นเป็นหน้าเดียวกัน แต่ URL ต่างกัน บอทก็จะมองว่าเป็นคนละหน้า ตัวอย่างเช่น
http://nipaexample.com/product/seo/
http://nipaexample.com/product/seo/?isnt=it-awesome
http://nipaexample.com/product/seo/?cmpgn=twitter
http://nipaexample.com/product/seo/?cmpgn=facebook
หากคนที่สามารถอ่านโครงสร้างเว็บไซต์ด้วยการ Inspect ได้จะง่ายมากๆ แค่กด
Inspect → Ctrl + F → พิมพ์คำว่า Canonical → มองหาโค้ด
อีกวิธีนึงคือการใช้ Extension : SEO META In 1 CLICK เข้ามาช่วยนั่นเอง (สามารถเข้าไป Download ได้ที่ Chrome Web Store)
เมื่อติดตั้งเสร็จแล้วให้เข้าไปที่หน้าที่ต้องการจะเช็ค แล้วกด ใช้งาน Extension ที่มุมขวาบนของหน้าจอ จากนั้นจะมี Pop up ขึ้นมาดังนี้
Canonical Tags จะปรากฏอยู่ที่แรเงาสีชมพู โดยจะแสดงลิงก์หน้าหลักที่คนทำ SEO เซ็ตได้ไว้ว่าหน้าหลักของคอนเทนต์นี้คือหน้าไหนนั่นเอง
การทำ Canonical เป็นการบอกบอทว่าหน้าไหนคือหน้าหลัก และอยากให้บอท Index หน้านั้นๆ แทนที่จะไป Index หน้าที่ไม่ต้องการ ทำให้จัดอันดับ SEO ได้ดียิ่งขึ้น
แต่สิ่งที่สำคัญกว่าการทำ Canonical คือ การวางโครงสร้าง SEO ให้กับเว็บไซต์ให้ดีก่อนลงมือทำ ว่า หน้าไหนจะเน้น Keyword อะไร และจะทำหน้าไหนมาซัพพอร์ตบ้าง เพื่อการทำงานอย่างเป็นระเบียบ และมีประสิทธิภาพ
หากต้องการทำ SEO ติดต่อได้ที่ NIPA Digital Marketing เอเจนซีรับทำ SEO