02-639-7878 ต่อ 990

เวลาทำการ จันทร์ - ศุกร์ เวลา 09.00 - 19.00 น.

ปิดหน้าต่างนี้
โฆษณาบน LINE
โฆษณาบน Facebook
โฆษณาบน Instagram
โฆษณาบน Google
โฆษณาบน YouTube
โฆษณาบน Twitter
โฆษณาบน TikTok
รับออกแบบเว็บไซต์ธุรกิจ
SEO ( Search Engine Optimization )
Content Marketing
การตลาดบน E-mail และ SMS
รับจ้างรีวิวสินค้า และบริการ
รับทำวิดีโอโฆษณา
โฆษณาบน Facebook Ads
บริการ ChatBot
ยืนยัน
Nipa Digital Marketing Add Line Nipa Digital Marketing Messenger
SEO

ก่อนลงมือทำ SEO ต้องเตรียมเว็บไซต์อย่างไรก่อนบ้าง?

หน้าหลัก
บทความ
SEO
ก่อนลงมือทำ SEO ต้องเตรียมเว็บไซต์อย่างไรก่อนบ้าง?
ก่อนลงมือทำ SEO ต้องเตรียมเว็บไซต์อย่างไรก่อนบ้าง?

การทำ SEO เพื่อให้หน้าเว็บไซต์ติดอันดับในหน้าแรกเมื่อมีการค้นหาผ่าน Search Engine อย่าง Google นั้น เพียงแค่สร้างหน้าเว็บไซต์ และลงบทความเป็นประจำแต่ไม่ได้มีการจัดเตรียมแผนเว็บไซต์ไว้ให้รับรองการทำ SEO ก็เหมือนคุณหลับตาวิ่งแข่งมาราธอน ความพยายามระยะยาวที่สักแต่มุ่งไปข้างหน้าอย่างมืดบอด ไร้ทิศทางชัดเจน เพราะขาดเครื่องมือและเทคนิคที่จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณประสบความสำเร็จ และช่วยดึงศักยภาพของแต่ละบทความที่เขียนออกมาได้สูงสุด


ก่อนลงมือทำ SEO ต้องเตรียมเว็บไซต์อย่างไรก่อนบ้าง?

วันนี้เรารวบรวมเทคนิดเตรียมเว็บไซต์ ทำSEO มาให้คุณแล้วในบทความเดียว อ่านจบได้เทคนิคครบอัพเดตใหม่ล่าสุด แค่คุณลองทำตามทีละข้อจะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณได้อันดับที่ดีขึ้นในผลการค้นหาอย่างแน่นอน


วิธีทำ SEO ให้ติดหน้าแรก ง่ายๆ แค่ต้องเตรียมความพร้อม


  • 1. ติดตั้งปลั๊กอินเพื่ออำนวยความสะดวกด้าน SEO


เริ่มต้นด้วยการสร้างเว็บไซต์ เชื่อว่าหลายๆ ท่านคงเลือกที่จะใช้ WordPress ในการสร้างบล็อกหรือเว็บไซต์ ซึ่งเครื่องมือตัวนี้มีปลั๊กอินเสริมที่จะช่วยให้เว็บไซต์ได้อันดับในหน้าค้นหาที่ดีขึ้นมากมายหลายตัว ไม่ว่าจะเป็น Yoast SEO, All in One SEO Pack, SEO Press, SEO Framework, Nitropack และ Rank Math SEO ลองโหลดหลั๊กอินเหล่านี้มาใช้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำ SEO บนเว็บไซต์ของคุณ


  • 2. ใช้งานเครื่องมือจาก Google


เมื่อทำเว็บไซต์เรียบร้อยแล้วก็มาต่อกันที่การ Tracking พฤติกรรมการเข้าชมเว็บไซต์ เพื่อหาจุดที่ต้องพัฒนาต่อไป โดยอาศัยเครื่องมือจาก Google อย่าง Google Analytics โดยการเข้าไปสร้าง Account แล้วเพิ่ม Domain ของเว็บไซต์เราเข้าไป แล้วอย่าลืมเอาโค้ดที่ได้มาติดในเว็บไซต์ของเราเองด้วยนะ


อีกหนึ่งเครื่องมือที่จะช่วยตรวจสอบประสิทธิภาพของเว็บไซต์คือการเอาเว็บไซต์ไปฝากไว้กับบริการ Google Search Console จะช่วยได้เราได้ข้อมูลของปริมาณการแสดงผลในหน้าค้นหา จำนวนการคลิก และคีย์เวิร์ดไหนบ้างที่ได้รับการตอบรับที่ดี รวมทั้งสามารถบอกได้ว่าฐานข้อมูลของ Google เก็บเว็บไซต์ของเราไว้หรือยัง บอทต่างๆ สามารถเข้าถึงเว็บไซต์ของเราได้หรือไม่ ซึ่งตรวจสอบได้ด้วยฟังก์ชัน URL Inspection Tool ใน Google Search Console ที่สำคัญที่สุดคือ Google Search Console จะแนะนำเราได้ว่าเว็บไซต์มีจุดผิดพลาดตรงไหนบ้าง และต้องแก้ไขอะไรบ้างเพื่อผลลัพธ์การค้นหาที่ดี


  • 3. Submit Sitemap ที่สร้างขึ้นไว้กับบริการ Google Search Console


Sitemap หรือก็คือลิสต์รายการลิงก์ของหน้าต่างๆ ที่มีอยู่บนเว็บไซต์ สร้างไว้เพื่อให้บอทเข้ามาดึงข้อมูลไปเก็บเข้าฐานข้อมูลของ Google ส่งผลให้หน้าเว็บไซต์ถูกค้นพบง่ายขึ้น มีโอกาสดึงดูดผู้เข้าชมได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งเมื่อทำ Sitemap สำเร็จแล้ว เราาควรนำไปฝากไว้กับ Google Search Console เพื่อให้มั่นใจว่าโดนดึงเข้าฐานข้อมูลอย่างแน่นอน


  • 4. ทำการสร้างไฟล์ robots.txt


มาต่อกันที่การช่วยให้บอทดึงข้อมูลของเว็บไซต์เราได้ครบถ้วนมากขึ้น โดยการสร้างไฟล์ robots.txt เพื่อบอกให้บอทรู้ว่าคววรมาเก็บข้อมูลจากส่วนไหน หน้าไหน ของเว็บไซต์เราไ่ปแสดงผลในหน้าค้นหาบ้าง ป้องกันไม่ให้บอทดึงข้อมูลซ้ำ ป้องกันการเข้าถึงข้อมูลที่เราไม่ต้องการให้แสดงผล และช่วยบล็อกไม่ให้บอทบางตัวเข้ามาเอาข้อมูลจากเว็บไซต์ของอเราไปทำแสปมคอนเทนต์อีกด้วย


  • 5. เคลียร์ Error 404 ให้หมด


หากมองในมุมของผู้อ่าน เชื่อว่าไม่มีใครอยากเจอลิงก์เสีย หรือ Error 404 นี่อาจทำให้จำนวนการเข้าชม และเวลาที่ใช้บนเว็บไซต์ลดลง ส่งผลเสียต่ออันดับในการทำ SEO เราจึงควรตรวจสอบเว็บไซต์ของตัวเองอยู่เป็นประจำ โดยใช้เครื่องมือ Google Search Console หรือ Screaming Frog หากพบ Error สามารถแก้ไขได้โดยการสร้างหน้าลิงก์ใหม่ ลบลิงก์ที่เสีย หรือเปลี่ยนเส้นทางไปที่ลิงก์ใหม่ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ผู้เข้าชมเว็บไซต์พบประสบการณ์ที่ไม่ดี


  • 6. ปรับแต่งไฟล์ขนาดใหญ่ด้วยเครื่องมือต่างๆ


เข้าสู่การปรับแต่งคอนเทนต์ที่จะลงเว็บไซต์ ถึงแม้ว่าเราจะอยากใส่ภาพที่มีรายละเอียดสูงมากแค่ไหน แต่อย่าลืมว่ายิ่งภาพละเอียดมาก ไฟล์ยิ่งใหญ่ กินพื้นที่ และทำให้การดาวน์โหลดภาพรวมของเว็บไซต์ช้าลง หากอยากรู้ว่าตอนนี้ไฟล์ภาพได้เกินลิมิตแล้วหรือยัง คุณสามารถเช็กได้ด้วย Google PageSpeed เครื่องมือที่จะช่วยบอกได้ว่าเราควรปรับแต่งไฟล์ภาพให้เล็กลงแล้วหรือยัง เพื่อให้เว็บไซต์ของคุณสามารถแสดงผลได้รวดเร็วขึ้น โดยเครื่องมือจะเข้ามาช่วยในจุดได้ก็มี Tinypng ที่จะช่วยลดขนาดไฟล์โดยไม่ลดทอนคุณภาพ


  • 7. Title, Meta Description และคำอธิบายรูปภาพ ต้องมาครบ


ตรวจเช็กว่าคอนเทนต์บนเว็บไซต์ของคุณ มีการใส่ข้อมูลเหล่านี้อย่างครบถ้วน เนื่องจากข้อมูลเหล่านี้จะไปปรากฏในหน้าค้นหาของ Search Engine การคัดเลือกคำ หรือการใช้คำบรรยายจึงเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยดึงดูดผู้เข้าชม รวมทั้งส่งผลต่ออันดับของเว็บไซต์อีกด้วย

แม้แต่การใส่คำอธิภาพรูปภาพก็มีผล หากคุณใส่คำบรรยายภาพโดยระบุว่าภาพนั้นๆ เกี่ยวกับอะไรบ้าง โดยมีคีย์เวิร์ดอยู่ในนั้น รูปเหล่านี้จะขึ้นไปแสดงผลเวลามีคนค้นหา และอาจทำให้พวกเขาคลิกเข้ามาอ่านคอนเทนต์บนเว็บไซต์ของเราได้


  • 8. Url ต้องสื่อถึงบทความที่ผู้อ่านกำลังจะได้พบ


นอกจาก Title ที่ต้องน่าสนใจและสื่อถึงเนื้อหาของคอนเทนต์แล้ว URL ก็เช่นกัน URL ที่จะช่วยห้เว็บไซต์ได้อันดับที่ดีขึ้นในการทำ SEO จะต้องระบุได้ทันทีว่าคอนเทนต์มีเนื้อหาเป็นเช่นไรทันทีที่เห็น ประกอบด้วยคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวกับเนื้อหา ซึ่งจะช่วยเพิ่มจำนวนการคลิกลิงด์ได้อย่างดี

เราแนะนำว่า URL ควรเป็น Long-tail Keywords ที่เกิดจากการผสมกันตั้งแต่ 3 คำขึ้นไป ไม่มีคำซ้ำกับหน้าอื่นๆ ในเว็บไซต์เดียวกัน ไม่มีสัญลักษณ์ที่ไม่จำเป็นอย่าง & หรือ % ควรเลือกใช้เป็นคำภาษาอังกฤษเท่านั้น และปรับให้สั้น กระชับ ความยาวไม่ควรเกิน 60 ตัวอักษร


  • 9. ทำ Snippet ในผลการค้นหาด้วย Schema Markup


การทำให้เกิดผลการค้นหาแบบ Snippet จะช่วยเพิ่มจำนวนคนที่คลิกเข้าสู่เว็บไซต์ของเราได้ดีอีกวิธีหนึ่ง คุณสามารถทำได้โดยใช้ Scheme Markup หรือรูปแบบโครงสร้างเว็บ ซึ่งอาจแตกต่างออกไปตามลักษณะของข้อมูล ซึ่งคอนเทนต์ในเชิงรวมคำถามที่พบบ่อยแบบ Q&A มีโอกาสติด Snippet สูงเหนือผลการค้นหาอื่นๆ


  • 10. ทำเว็บไซต์ของคุณให้รองรับการแสดงผลบนมือถือ (Mobile Friendly)


อุปกรณ์มือถือกลายเป็นอวัยวะที่ 37 ของคนเราในยุคปัจจุบัน การเข้าชมเว็บไซต์หรือค้นหาข้อมูลส่วนใหญ่ก็เกิดการเข้าชมบนอุปกรณ์มือถือด้วยกันซะส่วนใหญ่ เราจึงควรทำหน้าเว็บไซต์ให้ตอบโจทย์กับพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งจะทำให้อันดับในการแสดงผลหน้าเว็บไซต์ดีขึ้นอีกด้วย หากเว็บไซต์ของคุณเป็นที่ชื่นชอบของผู้เข้าชม ก็เท่ากับว่า Google จะนำมันขึ้นแสดงผลในหน้าค้นหาในอันดับต้นๆ นั่นยิ่งจะทำให้มีคนพบเห็นเว็บไซต์ของคุณง่ายขึ้น คลิกเข้ามามากขึ้น และได้อันดับดียิ่งขึ้น


  • 11. Link-Building เป็นกลยุทธ์ที่เว็บไซต์ของคุณควรทำ


หลังจากทำทุกอย่างครบแล้ว ก็มาต่อกันที่การเชื่อมโยงลิงก์เนื้อหาบนเว็บไซต์ ไม่ว่าจะเป็นจากภายในเว็บไซต์ของเราเอง หรือจะมาจากเว็บไซต์ภายนอก เพื่อช่วยเพิ่มโอกาสการเข้าชมเว็บไซต์มากขึ้น และได้อันดับที่นี้ขึ้นไปอีก ซึ่งอาจทำให้ได้ยอดขายเพิ่มขึ้นหลายเท่า


  • 12. คอยติดตามดูอันดับในหน้าค้นหา


มาถึงขั้นตอนสุดท้ายนั่นคือการติดตามผล ไม่ใช่ว่าทำทุกอย่างเสร็จแล้วจะปล่อยปละละเลยเว็บไซต์ของเราได้ แต่ต้องคอยเช็กประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง เพื่อปรับแก้ไขให้คงอันดับที่ดีไว้ตลอดเวลา


ส่วนลดพิเศษ คลิกเลย👇


บทความที่เกี่ยวข้อง
SEO
ไม่รู้จะเริ่มทำ SEO ยังไง ให้ 6 Martech เป็นตัวช่วย

SEO
Voice Search Marketing คืออะไร ? ทำไมถึงสำคัญกับการทำ SEO ในปี 2024

SEO
รวม SEO Tools ตัวช่วยให้เว็บไซต์ติดอันดับ

SEO
การทำ Backlink คืออะไร สำคัญอย่างไรกับการทำ SEO

View all

รับคำปรึกษาฟรี!
บริการที่น่าสนใจ
บริการของคุณ