เวลาทำการ จันทร์ - ศุกร์ เวลา 09.00 - 19.00 น.
เราจะรู้ได้อย่างไรว่า การทำเว็บไซต์ที่แบรนด์ทุ่มงบลงไปได้รับผลตอบรับดีขนาดไหน หรือโฆษณาเว็บไซต์ที่ได้เทเงินลงไป ได้รับความสนใจจากคนที่คลิกเข้ามาเยี่ยมชมมากน้อยเท่าไหร่ ? ซึ่งตัวชี้วัดอย่างหนึ่งที่นักการตลาดนิยมใช้วัดประสิทธิภาพของหน้าเว็บไซต์ โฆษณาเว็บไซต์ รวมถึงไปจนถึงการทำ SEO, SEM นั่นก็คือ Bounce Rate นั่นเอง
แล้ว Bounce Rate ที่หลายคนเคยได้ยินนี้คืออะไร เป็นตัวชี้วัดคุณภาพของเว็บไซต์ได้อย่างไรบ้าง แล้วควรจะทำอย่างไรให้ค่า Bounce Rate อยู่ในสัดส่วนที่เหมาะสม ใครที่กำลังมีข้อสงสัยเหล่านี้อยู่ ก็มาค้นหาคำตอบได้ที่บทความนี้ได้เลย!
Bounce Rate หรืออัตราการตีกลับ เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดสำคัญของการทำเว็บไซต์หรือการโฆษณาเว็บไซต์ โดยจะบ่งบอกเป็นเปอร์เซ็นต์ของผู้เยี่ยมชมที่เข้ามายังเว็บเพจหน้าใดหน้าหนึ่ง แล้วกดปิด (Close) หรือกดออกจากหน้าเว็บไซต์ไป โดยที่ไม่ได้กระทำการใดๆ เช่น คลิกไปยังหน้าถัดไปเพื่อกรอกแบบฟอร์มสมัครสมาชิก หรือคลิกไปยังหน้าสั่งซื้อสินค้าที่แบรนด์ได้โฆษณาไว้
Bounce Rate จึงเปรียบเป็นมาตรวัดที่บ่งบอกถึงคุณภาพของการทำเว็บไซต์ว่าตอบโจทย์ผู้ใช้งานมากเพียงใด หากหน้าเว็บไซต์นั้นมีเนื้อหาที่น่าสนใจ ย่อมดึงดูดให้ผู้ใช้อยู่ในหน้าเว็บนั้นได้นานขึ้นหรืออาจกระตุ้นให้เกิดการกระทำบางอย่างที่แบรนด์ต้องการได้
วิธีการดูว่า หน้าเว็บไซต์ของแบรนด์มีประสิทธิภาพมากน้อยแค่ไหน สามารถดูได้จากค่า Bounce Rate เช่น
ค่า Bounce Rate ต่ำ หมายถึง มีผู้เข้าชมเว็บไซต์ แล้วคลิกออกจากหน้าเว็บไซต์ทันที เป็นจำนวนน้อย
ค่า Bounce Rate สูง หมายถึง มีผู้เข้าชมหน้าเว็บไซต์ แล้วคลิกออกทันที เป็นจำนวนมาก และหากมี % สูงมากเท่าไหร่ ก็หมายถึงการมีผู้ที่คลิกออกไปทันทีเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วยนั่นเอง
ยกตัวอย่างเช่น หากหน้าเว็บไซต์ที่ขายผลิตภัณฑ์ใหม่ของแบรนด์ มี Bounce Rate อยู่ที่ 80% หมายความว่า 80% เป็นสัดส่วนของผู้เยี่ยมชมที่กดออกจากเว็บไซต์ หลังจากดูเพียงหน้าเดียว ส่วนอีก 20% ได้ทำการคลิกไปยังหน้าอื่นๆ ในเว็บไซต์
ดังนั้น แบรนด์ควรมุ่งเน้นการทำเว็บไซต์ให้มีค่า Bounce Rate ที่ต่ำ เพราะยิ่งต่ำก็ยิ่งส่งผลดีต่อหน้าเว็บไซต์หรือโฆษณาเว็บไซต์ แต่หากมี % สูงจนเกินไป ก็อาจถึงเวลาที่แบรนด์ต้องปรับปรุงการทำเว็บไซต์ เพื่อให้ตอบโจทย์ผู้ใช้งานมากหรือลดค่า Bounce Rate ให้ต่ำลงนั่นเอง
แบรนด์สามารถปรับปรุงหรือทำเว็บไซต์ให้ดึงดูดความสนใจของผู้เยี่ยมชมได้หลากหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็น
ปรับปรุงความเร็วในการโหลดหน้าเว็บไซต์ เพราะเว็บไซต์ที่โหลดช้าอาจทำให้ผู้ใช้รู้สึกหงุดหงิดและกดปิดหน้าเว็บไปได้อย่างง่ายดาย โดยสามารถปรับปรุงเรื่องการบีบอัดรูปภาพ การลดขนาดไฟล์ต่างๆ
สร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพ เพราะเนื้อหาที่ตรงกับความสนใจของผู้เยี่ยมชม จะดึงดูดให้พวกเขาใช้เวลาในหน้าเว็บได้นานขึ้น เนื้อหาคอนเทนต์จึงควรเป็นประโยชน์หรืออ่านเข้าใจง่าย
ปรับปรุงการออกแบบหน้าเว็บไซต์ (UX/UI) เพิ่มการออกแบบให้สวยงาม มีปุ่ม Action ที่มองเห็นได้ชัดเจน รวมถึงจัดวางเนื้อหาและรูปภาพต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม
มี Call to action (CTA) ที่ชัดเจน สามารถกระตุ้นให้กลุ่มเป้าหมายกระทำการบางอย่างที่แบรนด์ต้องการได้ เช่น คลิกเพื่ออ่านเพิ่มเติม คลิกเพื่อสั่งซื้อสินค้า หรือสมัครรับข้อมูลข่าวสาร
ทำเว็บไซต์ให้เหมาะกับการใช้งานทุกหน้าจอ โดยเฉพาะสมาร์ตโฟน ที่ผู้ใช้งานส่วนใหญ่นิยมเข้าชมเว็บไซต์หรือเลือกชมสิ่งที่ตนสนใจผ่านอุปกรณ์ดังกล่าว
ลดปริมาณโฆษณาหรือพ็อปอัปที่รบกวน เนื่องจากสิ่งก่อกวนเหล่านี้ สามารถลดทอนความสนใจของผู้ใช้ แบรนด์จึงควรใช้โฆษณาในสัดส่วนที่จำเป็น ไม่มากและไม่น้อยจนเกินไป
อย่าลืมวิเคราะห์ข้อมูลหรือพฤติกรรมผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ โดยใช้เครื่องมือต่างๆ เช่น Google Analytics ซึ่งจะช่วยให้แบรนด์สามารถทำเว็บไซต์หรือโฆษณาเว็บไซต์ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีมากขึ้น
ถึงเวลาแล้วที่ธุรกิจต้องหันมาทำเว็บไซต์เป็นของตนเอง
ปรับปรุงค่า Bounce Rate ให้อยู่ในสัดส่วนที่เหมาะสม เพื่อเพิ่มยอดขายได้ตามเป้าหมาย
พร้อมเอาชนะคู่แข่งทางการตลาดได้แบบไม่เห็นฝุ่น
Nipa Agency พร้อมรับทำเว็บไซต์ E-commerce ให้กับธุรกิจของคุณ เพราะเรามีทีมการตลาดออนไลน์มืออาชีพที่พร้อมซัปพอร์ตกธุรกิจออนไลน์ มั่นใจได้ในคุณภาพ!