Office Hour Mon - Fri 9.00 am - 7.00 pm
ในยุคที่มีการแข่งขันกันทางการตลาดอย่างเข้มข้น การยิงโฆษณาบนแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ เช่น Facebook Ads, TikTok Ads และโดยเฉพาะ Google Ads ล้วนมีความสำคัญอย่างมากต่อธุรกิจที่ต้องการจะสร้างการรับรู้ สร้างความเชื่อมั่น หรือเพิ่มยอดขายให้กับสินค้าหรือบริการต่างๆ ของแบรนด์ ซึ่งเรื่องหนึ่งที่เจ้าของธุรกิจหรือนักการตลาดไม่ควรมองข้าม หากจะยิงแอดโฆษณาออนไลน์บน Google Ads ให้เหนือกว่าคู่แข่งและเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด นั่นก็คือ การทำความรู้จักและเลือกใช้ตัวชี้วัดผลลัพธ์แคมเปญโฆษณาออนไลน์ ทั้ง CPM, CPC และ CPA ได้อย่างตรงจุด พร้อมตอบโจทย์ทุกเป้าหมายที่ธุรกิจวางแผนไว้
แล้วตัวชี้วัดที่เราได้ยินกันบ่อยๆ อย่าง CPM, CPC หรือ CPA คืออะไร แตกต่างกันอย่างไรบ้าง แล้วหากจะยิงแอดโฆษณา Google Ads ควรใช้ตัวชี้วัดแต่ละตัวกับแคมเปญแบบไหนบ้าง วันนี้ Nipa Agency จะพาทุกคนไปรู้จักตัวชี้วัดเหล่านี้กันให้มากขึ้น ไปดูกันเลย!
CPM (Cost Per Mile หรือ Cost per 1,000 Impressions) เป็นต้นทุนต่อการแสดงผลโฆษณา 1,000 ครั้ง หรือพูดง่าย ๆ คือ จะมีการคิดค่าโฆษณาก็ต่อเมื่อโฆษณาแสดงผลครบ 1,000 ครั้ง นับเป็นอีกหนึ่งวิธีกำหนดราคาโฆษณาบน Google Ads ที่ได้รับความนิยม
CPM = (Cost X 1,000) ÷ Impressions
ตัวอย่างการคำนวณ CPM
แทนค่าต่างๆ ในสูตรจะเป็น CPM = (50,000 X 1,000) ÷ 200,000 = 250
หมายความว่า มีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 250 บาท ต่อการโฆษณา 1,000 ครั้ง
เป็นตัวชี้วัดการโฆษณาที่ไม่ได้เน้นยอดขายเป็นหลัก แต่จะเน้นการเข้าถึงหรือสร้างการรู้จักแบรนด์
กระตุ้นให้กลุ่มลูกค้ารู้จักแบรนด์ (Brand Awareness) และจดจำแบรนด์ได้
เน้นไปที่การโปรโมตสินค้าหรือบริการใหม่ๆ ให้เป็นที่รู้จัก
CPC (Cost Per Click) หรือต้นทุนโฆษณาต่อคลิก เป็นวิธีการคิดค่าโฆษณาเมื่อมีการคลิกที่ตัวโฆษณาเท่านั้น จุดเด่นคือ สามารถกำหนดราคาและค่าใช้จ่ายต่อคลิกได้ เช่น คลิกละ 3 หรือ 5 บาท แต่ก็ต้อง Bidding ราคาแข่งกับผู้ยิงโฆษณารายอื่นๆ ด้วย นับเป็นวิธีโฆษณาออนไลน์บน Google Ads ที่มีต้นทุนสูง แต่ก็คุ้มค่ากับการลงทุน เนื่องจากผลตอบแทนมักเป็นยอดขายที่เพิ่มสูงขึ้นนั่นเอง
CPC = Cost ÷ Clicks
ตัวอย่างการคำนวณ CPC
แทนค่าต่าง ๆ ในสูตรจะเป็น CPC = 3,000 ÷ 250 = 12
หมายความว่า ค่าใช้จ่ายต่อการคลิก 1 ครั้ง จะเท่ากับ 12 บาท
เพิ่มยอดขายให้สูงขึ้น
เพิ่มยอดการมีส่วนร่วมให้กับตัวแบรนด์หรือสินค้า
เพิ่มยอดการสั่งจอง ลงทะเบียน หรือสมัครสมาชิก
เพิ่มยอดการเข้าชมเว็บไซต์ของธุรกิจ
CPA (Cost Per Acquisition) หรือต้นทุนโฆษณาต่อ 1 การกระทำ เป็นการคิดค่าโฆษณาเมื่อมีการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้นตามที่ผู้ยิงโฆษณากำหนด (Conversion) เช่น ลงทะเบียน สมัครสมาชิก สั่งซื้อ ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน หรือการกดติดตามช่องทางต่างๆ แต่หากกลุ่มเป้าหมายคลิกเข้ามาดูโฆษณาแต่ไม่ได้กดสั่งซื้อสินค้า แพลตฟอร์มก็จะไม่คิดเงินกับผู้ลงโฆษณา ถือเป็นอีกหนึ่งวิธีการที่ช่วยสร้างการมีส่วนร่วมกับแบรนด์ได้เป็นอย่างดี
CPA = Cost ÷ Conversion
ตัวอย่างการคำนวณ CPA
สมมุติว่า มีการสร้างแคมเปญ Google Ads แบบ CPA โดยกำหนดให้กลุ่มเป้าหมาย “สมัครสมาชิก” กำหนดค่าใช้จ่ายทั้งหมดของแคมเปญนี้อยู่ที่ 30,000 บาท และมีการสมัครสมาชิกเกิดขึ้นจำนวน 500 ครั้ง
แทนค่าต่างๆ ในสูตรจะเป็น CPA = 30,000 ÷ 500 = 60
หมายความว่า ต้นทุนต่อการกระทำ 1 ครั้ง จะเท่ากับ 60 บาท
มุ่งให้เกิด Conversion อย่างใดอย่างหนึ่ง
ต้องการกระตุ้นให้เกิดการสั่งซื้อสินค้า
ต้องการยอดผู้ลงทะเบียนหรือสมัครสมาชิก
การยิงโฆษณา Google Ads ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีนั้น แบรนด์ธุรกิจจำเป็นต้องโฟกัสในหลายๆ ประเด็น ไม่ว่าจะเป็นการบริหารงบโฆษณา การค้นหากลุ่มเป้าหมายที่ใช่ และที่สำคัญคือ การเลือกใช้ตัวชี้วัดโฆษณาออนไลน์แต่ละตัว ทั้ง CPM, CPC และ CPA ให้เหมาะกับแคมเปญที่กำหนด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์การลงโฆษณา Google Ads ที่ดีที่สุดต่อไป
แต่จะดีกว่ามั้ย? หากมีผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดออนไลน์มาช่วยเหลือคุณ! ทักหา Nipa Agency ได้เลย เรามีทีมการตลาดออนไลน์มืออาชีพที่พร้อมซัพพอร์ตทุกธุรกิจ มั่นใจได้ในคุณภาพ!