เวลาทำการ จันทร์ - ศุกร์ เวลา 09.00 - 19.00 น.
การทำธุรกิจในทุกวันนี้ ถือว่ามีความสะดวกและง่ายดายกว่าในอดีตที่ผ่านมา เพราะสิ่งที่เรียกว่า Google Marketing หรือการทำตลาดที่อาศัยจุดแข็งของ Google ที่มีผู้ใช้บริการในประเทศไทยหลักล้านคนต่อวันและเป็นหลักร้อยล้านคนต่อเดือน โดยเฉพาะในยุคโควิดที่มีผู้ใช้งานเพิ่มสูงขึ้นเป็นเท่าตัว เนื่องจากผู้คนส่วนใหญ่หลีกเลี่ยงการออกจากบ้าน
หลายคนอาจยังสงสัยว่า Google Marketing คืออะไร? มีโฆษณารูปแบบไหนบ้าง แล้วในปี 2022 Google Marketing ยังจำเป็นมากน้อยขนาดไหน… วันนี้ NIPA จะพาไปรู้จักโลกของ Google Marketing กัน
Google Marketing เป็นกลยุทธ์การทำตลาดบน Google ซึ่ง Google Marketing จะเน้นการโฆษณาให้กลุ่มเป้าหมายหรือกลุ่มลูกค้า สามารถ “มองเห็น” สินค้าหรือบริการต่างๆ ได้ง่ายและสะดวกขึ้น เมื่อสินค้าของเราสามารถเจาะกลุ่มลูกค้าได้ ลูกค้าก็จะมองเห็นสินค้าของเราเป็นตัวเลือกแรกๆ และส่งผลให้ยอดขายเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
ปัจจุบัน Google เป็น Search Engine อันดับหนึ่งในไทย พิสูจน์ได้จากการครองสถิติมากมายในปี 2021 ทั้งการเป็นเว็บที่คนไทยคลิกเข้าชมมากที่สุดถึง 310 ล้านครั้ง การเป็นแชมป์เสิร์ชเอนจินยอดนิยมอันดับหนึ่งที่มีสัดส่วนการใช้งานสูงถึง 98.37% เมื่อเทียบกับเสิร์ชเอนจินอื่นๆ
ต่อมาเป็นลักษณะการโฆษณาบน Google ซึ่งแบ่งเป็น 2 ส่วนหลักๆ คือ Google Ads และ SEO แต่ละรูปแบบมีความเหมือนหรือต่างกันอย่างไร ลองไปทำความรู้จักกันเลย
Google Ads เป็นเครื่องมือการโฆษณาหรือโปรโมตสินค้าบนเครือข่ายขนาดใหญ่ของ Google ไม่ว่าจะเป็น Google Search, Youtube หรือเว็บไซต์ที่ลงทะเบียนเป็นพันธมิตรกับ Google ซึ่งพื้นที่โฆษณาแต่ละส่วนจะมีราคาและกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกันไป สำหรับ Google Ads แบ่งรูปแบบโฆษณาออกเป็น 4 ประเภทดังนี
เป็นการทำให้ลิงก์เว็บไซต์ที่ทำการโฆษณาไว้ ขึ้นมาติดอยู่ในอันดับแรกๆ ของหน้าผลลัพธ์การค้นหา (Search Engine Result Page, SERP) เมื่อมีการเสิร์ชด้วย Keyword ที่กำหนดไว้ ความพิเศษคือ ลิงก์โฆษณาจะมีคำว่า AD กำกับอยู่ด้านหน้าลิงก์ของเราด้วย นับเป็นรูปแบบโฆษณาที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับต้นๆ ของ Google
เป็นการลงโฆษณาแบนเนอร์ (Banner) รูปภาพ ภาพ .gif หรือตัวอักษร (Text Ads) บนเว็บไซต์ต่างๆ ที่เป็นพันธมิตรของ Google เช่น Youtube เว็บสำนักข่าวออนไลน์ เว็บสินค้าออนไลน์ และเว็บที่เกี่ยวข้องอื่นๆ อีกมากมาย
คือการลงโฆษณาหรือแบนเนอร์บน Youtube แพลตฟอร์มวิดีโอออนไลน์ที่มีผู้ใช้งานมากที่สุดเป็นอันดับ 1 โดยมีโฆษณาหลายรูปแบบให้เลือก เช่น Display Ad, Overlay in-video ads
การลงโฆษณาบน Google ในรูปแบบ Shopping Card ซึ่งในการ์ดจะโชว์ทั้งรูปสินค้า ราคา รวมถึงเปรียบเทียบราคากับแบรนด์อื่นๆ จุดเด่นคือลูกค้าสามารถคลิกลิงก์โฆษณา เพื่อไปยังหน้าสั่งซื้อสินค้าได้ทันที ไม่เพียงช่วยอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้า แต่ยังกระตุ้นยอดขายได้เป็นอย่างดี
สำหรับค่าบริการของ Google Ads จะคิดจากจำนวนคลิกที่เกิดขึ้นจากการลงโฆษณาของเรา (Pay-per-Click, PPC) ซึ่งเราสามารถกำหนดจำนวนเงินต่อการคลิกได้ (Cost-Per-Click, CPC) แต่ราคาจะไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับคีย์เวิร์ดที่เราเลือกใช้ว่ามียอดการค้นหามากน้อยเพียงใด ยิ่งมีการเสิร์ชหามาก ก็ย่อมมีต้นทุนสูงกว่าคีย์เวิร์ดที่มีการค้นหาน้อยนั่นเอง
Search Engine Optimization หรือ SEO คือ การทำให้เว็บไซต์ขึ้นมาติดหน้าแรกๆ ของการค้นหาบนกูเกิลเหมือนกับ Google Ads แต่จะต่างกันตรงที่ SEO ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการซื้อโฆษณา โดย SEO จะเน้นการปรับแต่งเว็บไซต์ให้มีคุณภาพ อยู่ในเกณฑ์การให้คะแนนที่ Google กำหนด ซึ่งแนวทางการปรับแต่งเว็บไซต์ตามหลัก SEO สรุปได้เป็น 2 ด้านคือ
คือ การจัดทำเนื้อหาที่อยู่บนเว็บไซต์ให้มีคุณภาพ มีสาระเหมาะสมต่อผู้อ่าน ตลอดจนตอบโจทย์สิ่งที่ผู้อ่านกำลังค้นหาได้อย่างตรงจุด เช่น
คือ การปรับโครงสร้างหรือโค้ดหลังบ้านของเว็บให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เช่น
แม้ธุรกิจจะสร้างสรรค์เว็บไซต์ตามหลัก SEO แล้ว แต่อาจต้องใช้เวลาถึง 3-12 เดือน เพื่อให้หน้าเว็บไซต์ของเราขึ้นมาติดอันดับแรกๆ ของกูเกิล โดยระยะเวลาช้าเร็วนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น ระยะเวลาที่เว็บเปิดให้บริการ (เว็บที่เปิดมานานแล้ว มีโอกาสติดเร็วกว่าเว็บเปิดใหม่) บทความหรือเนื้อหาบนเว็บมีคุณภาพมากน้อยเพียงใด หรือเคยโดนบทลงโทษจากกูเกิลหรือไม่
Search Volume คือจำนวนที่แสดงถึงการค้นหาคำ วลี หรือคีย์เวิร์ดบน Google ในแต่ละเดือน Search Volume จะช่วยให้เจ้าของเว็บไซต์สามารถทำคอนเทนต์ที่ตอบโจทย์สิ่งที่ลูกค้าสนใจ ทั้งยังเป็นตัวช่วยสำคัญในการคัด Keyword มาใช้ทำคอนเทนต์ให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น
ในปัจจุบันมีเครื่องมือค้นหา Search Volume ให้เลือกใช้มากมาย แต่ที่เราอยากแนะนำคือ Google Keyword Planner ซึ่งเป็นเครื่องมือวัดผลคีย์เวิร์ดของ Google เอง ช่วยให้เราเลือกใช้คีย์เวิร์ดที่คาดว่าจะตรงกับสิ่งที่กลุ่มเป้าหมายสนใจ และที่สำคัญ ใช้งานฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย!
Traffic เพิ่ม ยอดขายก็เพิ่ม การที่เว็บไซต์ของเราติดอยู่ในหน้าแรกๆ ของการค้นหานั้น จะช่วยให้ลูกค้าพบเจอธุรกิจของเราได้ง่ายยิ่งขึ้น ช่วยเปิดโลกการซื้อขายของลูกค้า ส่งผลต่อการเพิ่มยอดขายบนโลกออนไลน์
ส่งผลเชิงบวกต่อแบรนด์ การทำ Google Ads หรือ SEO ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี จำเป็นต้องปรับแต่งเว็บไซต์ให้มีคุณภาพ สร้างสรรค์คอนเทนต์ที่น่าสนใจ อันเป็นการสร้างความเชื่อมั่นหรือภาพลักษณ์ที่ดีให้กับแบรนด์ได้อีกทางหนึ่ง
ควบคุมงบโฆษณาไม่ให้บานปลาย ในการทำ Google Ads เจ้าของธุรกิจสามารถใส่จำนวนเงินตามงบประมาณที่ตั้งไว้ได้ สามารถปรับเพิ่มหรือปรับลดจำนวนเงินได้ตามต้องการ หรือถ้ามีงบน้อย การทำ SEO ก็จะตอบโจทย์ เพราะไม่เสียค่าบริการ ทั้งยังส่งผลดีต่อธุรกิจในระยะยาว