02-639-7878 ext 990

Office Hour Mon - Fri 9.00 am - 7.00 pm

Close This Window
LINE Ads
Facebook Ads
Instagram Ads
Google Ads
YouTube Ads
Twitter Ads
TikTok Ads
Website & Landing Pages
SEO ( Search Engine Optimization )
Content Marketing
Email & SMS Marketing
Influencer
Video Ads
Chatbot Services
Submit
Nipa Digital Marketing Add Line
Digital Marketing

SME ต้องอ่าน ทริคลับสำหรับโฆษณา Facebook สายงบน้อย

Homepage
Articles
Digital Marketing
SME ต้องอ่าน ทริคลับสำหรับโฆษณา Facebook สายงบน้อย
SME ต้องอ่าน ทริคลับสำหรับโฆษณา Facebook สายงบน้อย

ในปัจจุบันมีแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียเกิดขึ้นมากมาย แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า Facebook ยังคงเป็นแพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้งานเยอะที่สุด เป็นสาเหตุทำให้ผู้ประกอบการกลุ่ม SME ต่างๆ หันมาทำการตลาดบนเฟซบุ๊ค เพราะมีกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลาย และตรงกับธุรกิจของตัวเอง จึงทำให้มีเหล่าผู้ประกอบการเป็นจำนวนมากใน facebook

วิธีตั้งค่าโฆษณา Facebook ยังไงให้ได้ค่าโฆษณา ถูกที่สุด 

การโฆษณา Facebook จึงเป็นวิธีที่จะทำให้ SME ที่พึ่งเข้ามาใหม่สามารถสู้กับคู่แข่งที่อยู่ในตลาดอยู่แล้วได้ แต่ปัญหาคือ ค่าโฆษณาที่มีราคาแพง อาจทำให้ SME หน้าใหม่ต้องคิดแล้วคิดอีกก่อนจะลงโฆษณา วันนี้ NIPA จะพามาเปิดทริคลับสำหรับการทำโฆษณา Facebook แบบงบน้อยกันครับ

ใช้ตัวจัดการโฆษณา Facebook ( Ads Manager )

หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า การทำโฆษณาบนเฟสบุ๊คนั้น สามารถทำได้ 2 วิธีนั่นคือ การ Boost Post และการใช้ตัวจัดการโฆษณา Facebook (Ads Manager) โดยทั้งสองวิธีจะมีข้อดีข้อเสียต่างกันครับ แน่นอนว่าหากจะยิงโฆษณาให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด การใช้ตัวจัดการโฆษณา (Ads Manager) ดีกว่าการ Boost Post ธรรมดาแน่นอนครับ เพราะเราสามารถตั้งค่าโฆษณานั้นได้ละเอียดกว่า เผื่อใครอยากจะลองโฆษณา Facebook เอาเป็นว่าเราลองมาดูความแตกต่างระหว่างการโฆษณาทั้งสองแบบกันก่อนครับ

  • Boost Post คืออะไร ?

    Boost Post คือ การโปรโมท Facebook Page ออกไปในวงกว้างทำให้คนรู้จักเพจของเราให้ได้มากที่สุด โดยผลลัพธ์ส่วนใหญ่ที่ได้จากการบูสต์โพสต์มักจะเป็น Awareness และ Engagement ไม่ว่าจะเป็น Like, Share หรือ Comment ซึ่งการโฆษณาแบบนี้อาจจะไม่เหมาะกับวัตถุประสงค์ที่ต้องการสร้างยอดขาย เนื่องจากโฆษณาที่เราบูสต์ไปนั้นอาจจะไปปรากฎบนฟีดของกลุ่มคนที่ไม่ใช่ กลุ่มเป้าหมายที่มีความต้องการจะซื้อผลิตภัณฑ์ของเรานั่นเอง
  • ตัวจัดการโฆษณา Facebook คืออะไร ?

    Facebook Ads Manager คือ เครื่องมือที่ใช้สำหรับยิงแอด โดยจะแตกต่างจากการบูสต์โพสต์ตรงที่ เราสามารถกำหนดวัตถุประสงค์ของการโฆษณาได้อย่างละเอียด เรียกได้ว่าเป็นขั้นกว่าของการบูสต์โพสต์นั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเป้าหมาย รูปแบบโฆษณา หรือว่างบประมาณ เราก็สามารถกำหนดได้ในตัวจัดการโฆษณา ทำให้เราลงโฆษณาได้คุ้มค่าที่สุดครับ

ใช้ Ads Manager ทำไมถึงดีกว่าการ Boost Post ?

สรุปง่ายๆ ว่าฟังก์ชั่นทุกอย่างที่เกี่ยวกับการโฆษณา ในตัวจัดการโฆษณา Facebook มีครบ และครอบคลุมในการทำการโฆษณามากกว่าการบูสต์โพสต์ธรรมดา เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการสร้างยอดขายจากการโฆษณา แต่มือใหม่อาจจะต้องใช้เวลาศึกษาเครื่องมือนิดนึง เมื่อเทียบกับการบูสต์โพสต์ที่ใช้งานง่ายกว่ามาก แต่ถ้าจะเอาผลลัพธ์จริงๆ Ads Manager มีประสิทธิภาพมากกว่าเยอะครับ

เปิด CBO จะช่วยทำให้ค่าโฆษณาถูกลง

ในการตั้งค่างบประมาณของแคมเปญนั้น แบ่งออกได้เป็น 2 วิธี คือ ABO และ CBO มาทำความเข้าใจความแตกต่างของทั้งสองแบบกันครับ

การทำงานของ Ad-set Budget Optimization

ABO (Ad-Set Budget Optimization) คือ การจัดสรรงบประมาณในแต่ละ Ad-set ตามที่เราระบุไว้แบบเท่าๆกัน ซึ่งจะไม่ได้มีการปรับงบโฆษณาโดยอ้างอิงจาก Performance ของแต่ละ Ad-set เหมือน CBO ซึ่งอาจจะได้ผลลัพธ์ที่ไม่ได้ดีเท่า CBO นั่นเองครับ

การทำงานของ Campaign Budget Optimization

CBO (Campaign Budget Optimization) คือ ตัวช่วยในการจัดการงบประมาณในการลงโฆษณาให้เหมาะสมกับแคมเปญ โดยการใช้ AI มาวิเคราะห์ว่า Ad set ตัวไหนมีคุณภาพมากกว่า ก็จะเอางบไปลงตรงที่ Ad set ตัวนั้นมากที่สุดนั่นเอง

ตั้งค่ากลุ่มเป้าหมาย Facebook ให้ตรง

แน่นอนว่าหากเราจะโฆษณาสินค้าสักอัน แล้วเราไม่ได้ตั้งค่ากลุ่มเป้าหมายให้ดี ก็เหมือนเราเสียเงินไปฟรีๆ เพราะว่าโฆษณาสินค้านั้นจะไม่ได้รับการสนใจจากคนที่เห็นมันเลย ตัวอย่างเช่น ขายลิปสติก แต่โฆษณาดันไปโชว์บนฟีดของเด็กผู้ชายที่ไม่ได้สนใจเรื่องความสวยความงามเลย การโฆษณานี้ก็ถือว่าล้มเหลว 

  • เพศ บางธุรกิจที่มีผลิตภัณฑ์ที่ต้องคำนึงเรื่องเพศ อย่าง ธุรกิจเครื่องสำอาง จึงจำเป็นที่จะต้องตั้งค่ากลุ่มเป้าหมาย ให้ตรง หากเรายิงโฆษณาไปยังกลุ่มที่เป็นผู้ชาย โฆษณานั้นก็จะถือว่าไม่มีประสิทธิภาพ เพราะว่าโอกาสในการปิดการขายกับกลุ่มผู้ชายนั้นน้อยมากนั่นเอง

  • อายุ หากเราจะให้โฆษณาที่ยิงออกไปสร้างยอดขายได้ เราจำเป็นที่จะต้องกำหนดช่วงอายุที่จะให้โฆษณาของเราไปแสดงให้กลุ่มเป้าหมายที่ตรงกับธุรกิจเห็น ยกตัวอย่างเช่น ธุรกิจที่ขายอุปกรณ์สำหรับแม่และเด็ก ก็ควรจะกำหนดช่วงอายุ 25 - 35 ปี เนื่องจากเป็นกลุ่มเป้าหมายที่มีกำลังซื้อผลิตภัณฑ์ของเรา และเป็นช่วงอายุเฉลี่ยของคนที่มีบุตร

  • การศึกษา ในธุรกิจบางประเภทจำเป็นที่จะต้องกำหนดการศึกษา เช่น ธุรกิจที่ขายคอร์สเรียนต่าง ๆ ควรจะกำหนดช่วงอายุเป็นกลุ่มที่กำลังจะจบชั้นอุดมศึกษา หรือกำลังศึกษาอยู่ เนื่องจากเป็นกลุ่มเป้าหมายที่มีโอกาสในการซื้อคอร์สเรียนสูงกว่าคนที่จบการศึกษาไปแล้ว

  • พื้นที่อยู่อาศัย การกำหนดพื้นที่นั้นจะส่งผลดีอย่างยิ่งต่อธุรกิจที่มีหน้าร้าน ให้ลองนึกดูครับว่า เมื่อเราเจอโฆษณา 2 ตัวที่เกี่ยวกับร้านปิ้งย่างเหมือนกัน โดยร้านที่ 1 อยู่ห่างจากที่เราอยู่ประมาณ 1 กิโลเมตร แต่ร้านที่ 2 อยู่ไกลกันคนละจังหวัด เราก็ต้องให้ความสนใจกับโฆษณาของร้านที่ใกล้ตัวมากกว่าอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นอาจจะปิดการขายได้เลยครับ

  • พฤติกรรม ก่อนจะลงโฆษณา จำเป็นมากที่จะต้องศึกษาพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายก่อน ซึ่งสามารถกำหนดได้หลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็น ประวัติการเช็คอิน ประวัติการซื้อของออนไลน์ หรือประวัติการเข้าร่วมแคมเปญต่าง ๆ

  • ความสนใจ เราควรตั้งค่าความสนใจของกลุ่มเป้าหมายที่เราอยากให้โฆษณาของเราไปแสดงให้สอดคล้องกับธุรกิจของเรา เช่น หากทำธุรกิจเกี่ยวกับการท่องเที่ยว ก็ควรจะตั้งค่าให้โฆษณาไปแสดงผลกับกลุ่มคนที่ชื่นชอบการท่องเที่ยว ซึ่ง ตัวจัดการโฆษณา Facebook มีกลุ่มความสนใจให้เลือกเยอะมาก ยังไงก็เจอสิ่งที่เข้ากับธุรกิจแน่นอนครับ

หากทำตามหลักการที่กล่าวมาด้านบน การลงโฆษณาจะคุ้มค่ามากยิ่งขึ้น ถ้าสนใจลงโฆษณาให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี สร้างยอดขายได้ ที่ NIPA มีบริการรับลงโฆษณา โดยผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Marketing ที่จะทำให้โฆษณาของคุณมีคุณภาพ สร้าง Awareness และ Conversion เหมาะสำหรับ SME


PROMOTION FOR YOU


Related Articles
Digital Marketing
3 เรื่องน่ารู้ ก่อน ลงโฆษณา ออนไลน์

Digital Marketing
เจาะการตลาด E-Commerce สร้างความได้เปรียบก่อนเข้าสู่ AEC

Digital Marketing
6 เทคนิคสุดง่าย สร้าง อีเมลมาร์เก็ตติ้ง ให้ประสบความสำเร็จ

Digital Marketing
โปรโมทสินค้าได้แบบปังๆ ถ้าเลือกช่องทางถูก

View all

Get More Detail
Interested Services
Please Select Services