เวลาทำการ จันทร์ - ศุกร์ เวลา 09.00 - 19.00 น.
เวลาที่เราได้ยินคำว่า การตลาดออนไลน์ หลายคนจะนึกถึงการสร้าง Facebook Page ร้านค้าบนโลกออนไลน์ ทำคอนเทนต์ ยิง Ads โฆษณาต่าง ๆ แต่ความเป็นจริงแล้วคำจำกัดความของการตลาดออนไลน์ไม่ได้มีหน้าที่แค่เพียงเท่านี้ เพราะ Facebook เป็นการตลาดออนไลน์แบบ “Push marketing” ที่เน้นการนำเสนอแบรนด์ให้คนเห็นบ่อย ๆ อย่างการยิง Ads เพื่อให้คนที่เห็นโฆษณาเกิดความสนใจ ซึ่งอาจยังไม่ครอบคลุมกลยุทธ์การตลาดมากพอ การตลาดออนไลน์แบบ “Pull Marketing” ที่สร้างความน่าสนใจให้แก่เว็บไซต์ ผ่านการโฆษณา Google จึงเป็นกลยุทธ์ที่นักการตลาดควรทำควบคู่กันไปด้วยเพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการเจาะตลาดแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักและเกิดการซื้อ-ขายมากยิ่งขึ้น
อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าการตลาดออนไลน์จะปัง! ได้นั้น ควรที่จะทำทั้ง 2 แบบควบคู่กันไป ไม่ว่าจะเป็นการตลาดผ่าน Facebook แบบ “Push Marketing” หรือการตลาดผ่าน Google แบบ “Pull Marketing” ถึงตรงนี้คงเกิดคำถามว่าแล้วการตลาดออนไลน์ที่เราเสริมเข้ามาช่วยอย่าง Google ต้องมีวิธีการอย่างไรบ้างถึงจะทำให้เว็บไซต์ของเราติดอันดับบน Google วันนี้เราจะมาดูคำตอบไปพร้อมๆ กัน
เริ่มจากปัจจัยสำคัญที่เราต้องทำความรู้จัก 2 อย่าง...
คือการทำการตลาดออนไลน์ด้วยวิธีการซื้อโฆษณากับ Google เพื่อดันให้เว็บไซต์ของแบรนด์ขึ้นมาเป็นอันดับต้นๆ เมื่อถูกค้นหา ซึ่งการตลาดวิธีนี้จะช่วยเพิ่มยอด Click ตอบโจทย์กับผู้ประกอบการที่มีเว็บเพจหรือเว็บไซต์ที่ขายของชัดเจน สังเกตง่ายๆ เวลาเราเข้าใช้งานเว็บไซต์ Google เพื่อเสิร์ชหาสิ่งที่เราต้องการ เราจะเจอลิงค์ที่ปรากฏขึ้นมาเป็นอันดับต้นๆ ที่มีคำว่าAd อยู่ข้างหน้า url นั่นคือเว็บไซต์ที่ใช้บริการกับ Google AdWords นั่นเอง
การทำตลาดออนไลน์ด้วย Google จะต้องอาศัยการทำ SEO เพื่อให้ Google จัดระบบการแสดงผลหน้าการค้นหา (Algorithm) ซึ่งระบบนี้จะช่วยให้คะแนนเว็บไซต์ในระดับที่แตกต่างกันไป โดยคัดกรองเว็บไซต์ที่ไม่มีคุณภาพหรือไม่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องออก เพื่อให้การค้นหาของผู้เข้าใช้ตรงตามความต้องการมากที่สุด เราจึงจำเป็นต้องทำ SEO อย่างมีคุณภาพ ให้เว็บไซต์ได้คะแนน Algorithm สูงๆ ดันอันดับการแสดงผลบน Google Search
ขั้นตอนนี้เรียกได้ว่าสำคัญมากที่จะทำการตลาดแบบ SEO โดยก่อนเขียนบทความเราต้องวิเคราะห์แล้วว่า Keyword ที่เลือกมานั้นเกี่ยวข้องกับเนื้อหาคอนเทนต์และสามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้เข้าชมเว็บไซต์ รวมถึงเป็น Keyword ที่มีแนวโน้มที่จะถูกค้นหาคำบ่อยๆ หากมั่นใจแล้วจึงลงมือเขียนบทความ และนำ Keyword ไปแทรก กระจายให้ทั่ว แต่ทั้งนี้ก็มีข้อควรระวัง เพราะบทความและ Keyword ที่ใส่ควรมีความธรรมชาติอ่านแล้วไม่ดูเหมือนเราจงใจที่จะ แทรก Keyword เหล่านั้นจนเกินไป เพื่อป้องกันไม่ให้ Google จับ Spam
ด้วยยุคสมัยที่เทคโนโลยีมีการพัฒนาก้าวหน้า การใช้งานเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์จึงมีความหลากหลายเพิ่มมากขึ้นไปด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมาร์ทโฟนที่เรามีติดตัวกันทุกคนและใช้งานอยู่เป็นประจำ เนื่องจากความสะดวกสบายในการพกพานั่นเอง การออกแบบเว็บไซต์ให้รองรับกับการใช้งานบนมือถือจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก! เพื่อการใช้งานที่ทันใจและเข้าถึงได้ทุกที่ทุกเวลา ก็จะยิ่งทำให้ Google ดันเว็บไซต์ของเราขึ้นอยู่ในอันดับต้นๆ
การทำ SEO ต้องมีส่วนประกอบของเนื้อหาที่ครบถ้วนทุกส่วน เช่น URL, Title Tag ,Description Tag หากเราสามารถบอกรายละเอียดได้ครบถ้วนทุกจุดจะช่วยให้การเสิร์ชเว็บไซต์ของเราบน Google พบเจอได้ง่ายมากยิ่งขึ้น นอกจากนั้นควรที่จะ Update ข่าวสารข้อมูลที่เป็นเนื้อหาของเว็บไซต์อยู่เสมอ เพื่อให้มีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ยิ่งมีการอัพเดทถี่เท่าไหร่ ก็จะยิ่งทำให้เว็บไซต์ของคุณไม่ตกหล่นลงไปเป็นอันดับท้ายๆ
เราควรสำรวจศึกษาเว็บไซต์ของคู่แข่งด้วยการเสิร์ช Keyword สังเกตว่าเว็บไซต์คู่แข่งของเรามีอะไรที่เป็นข้อดีและจุดเด่นของเขาคืออะไรบ้าง มีตรงไหนที่เว็บไซต์ของเรายังไม่มีและควรที่จะแก้ไขปรับปรุงเพิ่มเติม เพื่อให้เว็บไซต์มีความสมบูรณ์แบบมากกว่า และมีจุดแข็งที่สามารถชนะใจ Google นั่นเอง
และนี่คือกลยุทธ์ง่ายๆ เป็นเคล็ดแต่ไม่ลับของการตลาดออนไลน์ที่หลายๆ คนยังมองข้าม เพราะตีความหมายหน้าที่ของการตลาดเป็นแค่การการสร้างเพจ Facebook ยิง Ads ขายของเท่านั้น ก็เปรียบเสมือนกับเรามีร้านค้า มีของที่พร้อมจะขายแต่ไม่มีการวางแผนไม่มีการตลาดที่ส่งเสริมการรขาย โปรโมทให้ร้านเป็นที่รู้จักให้ดีพอเท่าที่ควร โอกาสประสบผลสำเร็จและเป็นที่รู้จักก็จะน้อย ลองนำสิ่งเหล่านี้ไปปรับใช้กับแบรนด์ของตัวเองกันดู เพื่อเพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับบน Google