Digital Marketing
May 6,2024

เวลาเราเลื่อนผ่านฟีดเฟซบุ๊คแล้วเจอแอดโฆษณาที่โดนใจใช่เลย เราก็มักจะหยุดดูนานกว่าแอดอื่นๆ หรือรู้สึกว่าทำไมแบรนด์นี้ดูใส่ใจ ทำให้เราอยากหลวมตัวเป็นลูกค้าในซักวัน ความจริงนั้นแบรนด์อาจจะใช้ทฤษฎีจิตวิทยา และกลยุทธ์การตลาดที่คาดไม่ถึง วันนี้ Nipa Agency จึงพามาทำความรู้จักกับอีกหนึ่งทฎษฏีทางจิตวิทยา ที่สามารถนำมาปรับใช้กับการทำคอนเทนต์ทําเพจขายของได้ นั่นก็คือ Iceberg Theory นั่นเอง
Iceberg Theory คืออะไร
Iceberg Theory หรือ ทฤษฎีภูเขาน้ำแข็ง เป็นแนวคิดจิตวิทยาที่เน้นให้ความสำคัญของสิ่งที่อยู่เบื้องลึกในจิตใจ ทฤษฎีนี้มีพื้นฐานมาจากแนวคิดที่ว่า สิ่งที่แบรนด์มองเห็น อาจเป็นเพียงส่วนเล็กๆ ของพื้นผิวด้านบนที่สามารถนำมาวิเคราะห์ทางการตลาดเบื้องต้นได้เท่านั้น แต่ในขณะเดียวกัน ก็ยังมีเบื้องลึกของความคิดและพฤติกรรม หรือจิตใต้สำนึกอีกมากมาย ประหนึ่งฐานภูเขาน้ำแข็งที่อยู่ภายใต้มหาสมุทรที่ลึกเกินจะคาดเดาได้ ซึ่งหลากหลายแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จในการสร้างเพจ ด้วยการใช้ทฤษฎีนี้ อาจใช้หลักการดังต่อไปนี้
วิเคราะห์ Target ด้วย Iceberg Theory ก่อนทําเพจขายของ
ทฤษฎีภูเขาน้ำแข็งเชิงการตลาด เป็นแนวคิดที่อธิบายว่ามีปัจจัยมากมายที่ส่งผลต่อพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งปัจจัยเหล่านี้สามารถแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลักๆ ดังนี้
- ส่วนที่มองเห็น (เหนือน้ำ)
- ปัจจัยภายนอกที่สังเกตได้ และวัดได้
- Demographic ข้อมูลประชากร เช่น อายุ เพศ รายได้ สถานะ
- Behavior พฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมาย เช่น ความถี่ในการซื้อ มี Journey อย่างไร
- Geographic ข้อมูลทางภูมิศาสตร์ เช่น ที่อยู่อาศัย เมือง ประเทศ ศาสนา เชื้อชาติ
- ส่วนที่มองไม่เห็น (ใต้น้ำ)
- ปัจจัยภายในที่อยู่เบื้องลึกในใจและยากต่อการวัด หรือ Psychrographic
- Inspiration แรงจูงใจ เช่น ความต้องการ ความปรารถนา Passion
- Interest ความชื่นชอบ ความสนใจ เช่น กีฬา การท่องเที่ยว หรืองานศิลปะ
- Attitude ค่านิยม เช่น ทัศนคติ ความเชื่อ การให้ความสำคัญ ความคิดเห็นส่วนตัว
- Personality บุคลิกภาพ เช่น ลักษณะเฉพาะทางจิตวิทยา MBTI
ซึ่งส่วนสำคัญในการวิเคราะห์กลุ่มลูกค้า คือ ส่วนที่อยู่ใต้ผิวน้ำ หรือ Psychographics นั่นเอง เนื่องจากเป็นส่วนที่มองไม่เห็น จึงต้องใช้เวลาดำให้ลึกลงไป เก็บข้อมูลให้ละเอียด ด้วยวิธีที่หลากหลายมาประกอบกัน บอกเลยว่าไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ในการเจาะใจลูกค้า แต่ถ้าเราเข้าใจลึกซึ้ง เข้าถึง Insight ของ target เราได้เมื่อไหร่ การทำคอนเทนต์ในการสร้างเพจก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
สำรวจส่วนที่อยู่ใต้ผิวน้ำได้ยังไงบ้าง?
- นำเสนอแบบสำรวจ (Survey)
สร้างแบบสำรวจออนไลน์ เพื่อเก็บข้อมูล และความคิดเห็นจากกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งสามารถเก็บข้อมูลได้ตั้งแต่ Demographic Geographic หรือ Psychographic สามารถตั้งคำถาม และรูปแบบการตอบคำถามได้หลากหลาย ทั้งแบบปลายเปิด และปลายปิด (Yes/No Question) - สัมภาษณ์เชิงลึก (Depth Interview)
ควรเป็นการตั้งคำถามแบบปลายเปิด ช่วยให้ผู้ตอบมีอิสระในการตอบมากขึ้น เช่น รู้สึกอย่างไรกับ Beauty Standard ในประเทศไทย ซึ่งคำตอบอาจเป็นอีกหนึ่ง Insight ที่ช่วยกำหนดทิศทางของการสร้างแคมเปญการตลาดให้กับแบรนด์เครื่องสำอางก็เป็นได้ ซึ่ง Key หลักของการตั้งคำถามเพื่อสัมภาษณ์เชิงลึก อาจเป็นการถามถึงทัศนคติ ความชอบ เป็นต้น - การสังเกต (Observation)
เป็นกระบวนการในการสำรวจ หรือแอบสังเกตการณ์เพื่อเก็บข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรม ความสัมพันธ์ หรือกิจกรรมต่างๆ โดยที่ไม่มีการแทรกแซงจากผู้ถูกสำรวจ เพื่อทราบข้อมูลโดยตรงจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงแบบเรียลไทม์ โดยการสังเกตอาจเป็นการดูด้วยตา หรือใช้เครื่องมืออย่างกล้องวงจรปิดช่วยเพื่อบันทึกข้อมูลที่เป็นการสังเกตก็ได้เช่นกัน - การใช้เครื่องมือในการวิเคราะห์
ใช้เทคโนโลยีช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูล เช่น การใช้ Social Listening Tools เพื่อเก็บความคิดเห็นของลูกค้าบนโลก Social ได้แบบเรียลไทม์ และสามารถนำข้อมูลเหล่านั้น มาต่อยอดด้วยเครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) เพื่อตรวจสอบแนวโน้ม ความสัมพันธ์ของข้อมูล และ Visualize ออกมาเป็น Dashboard เพื่อให้เข้าใจใน Social Media Insight ได้ง่ายขึ้น
วิธีสร้างเพจขายของด้วยคอนเทนต์แบบเจาะใจ
- นำข้อมูลมาต่อยอดในการสร้างคอนเทนต์ เมื่อเราเข้าใจ Insight ของลูกค้าจากการสำรวจและวิเคราะห์ข้อมูลแล้ว เรามาสร้างคอนเทนต์เพื่อ Build เพจให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เนื่องจากเพจเปิดใหม่ อาจต้องสร้างฐานลูกค้าด้วยคอนเทนต์ที่บอกที่มาที่ไปของแบรนด์ จุดยืน และข้อมูลสินค้าเสียก่อน
- วาง Mood & Tone รวมถึง Pillar ให้ตรงกับกลุ่มลูกค้า และจุดประสงค์ที่จะเพิ่มผู้ติดตาม ซึ่งในช่วงแรก ควรจะเป็นคอนเทนต์เกี่ยวกับ Branding & Product บอกว่าเราคือแบรนด์อะไร ขายอะไร มีบริการอะไร เพื่อสร้างการตระหนักรู้ และค่อยต่อยอดไปที่ Content รูปแบบอื่นๆ เช่น Real-time, Lifestyle, ที่สามารถเชื่อมโยงกับ Insight ได้
- คิดคำโฆษณาให้สะกิด Unconscious Mind ของลูกค้า กับภาพประกอบที่ดึงดูดสายตา
ไม่ต้องหันไปไหนไกล แค่ลองสังเกตจากพฤติกรรมของตัวเองดูก็ได้ ว่าเราจะใช้เวลาหยุดดูหรือเลื่อนผ่านคอนเทนต์ใดคอนเทนต์หนึ่งจากปัจจัยอะไร ในแง่ของการ Hard sale อาจจะเป็นโปรโมชันที่ใช่ ราคาที่คุ้ม แต่ในแง่ของการสร้างการตระหนักรู้ อาจเป็นภาพที่ดึงดูด Copy ที่สั้นกระชับ แต่ลึกซึ้ง เช่น Durex จัดแคมเปญโฆษณาชื่อว่า Do or Dad ซึ่งแน่นอนอยู่แล้วว่า เจาะกลุ่มเป้าหมายผู้ชายที่ต้องการมีเพศสัมพันธ์แต่ไม่ต้องการมีลูก ด้วย Copy “The Choice is yours” ที่กระตุ้นให้ตระหนักผลลัพธ์ของการไม่ใช้ถุงยางอนามัย และการให้ความสำคัญของการใช้ถุงยางอนามัยนั่นเอง


หรืออีกหนึ่งตัวอย่างจาก Mc Donald คือแคมเปญ Breakfast That’s Freshly Prepared Even If You’re Not แม้ว่าเราจะไม่พร้อม แต่อาหารเช้าจากแม็คโดนัล สดใหม่พร้อมเพื่อคุณเสมอ ซึ่งจากภาพก็น่าจะรู้ทันทีว่าเจาะกลุ่มพนักงานออฟฟิศที่เร่งรีบไปทำงานจนไม่มีเวลาเตรียมอาหารเช้า มีการนำเสนอภาพที่เห็นแว๊บเดียวก็ Get the point ทันทีว่าอะไรคือ “ความไม่พร้อม” ซึ่งต้องเข้าใจในกลุ่มเป้าหมาย พอประมาณว่ากลุ่มพนักงานที่ต้องเร่งรีบในตอนเช้าชอบทำพลาดเรื่องอะไรบ้าง อาจจะใส่ถุงเท้าสองข้างไม่เหมือนกัน ใส่เสื้อกลับด้าน หรือลืมเอาโรลม้วนผมออก ซึ่งองค์ประกอบของภาพ ไม่ได้ใช้กราฟิกมากมายอะไร แต่เพราะ “เข้าใจ” ในกลุ่มลูกค้า และสื่อสารอย่าง “เข้าใจ” เท่านี้ก็ “ชนะใจ” แล้ว



และนี่คือหลักการทำความเข้าใจ Insight ของลูกค้า เกิดเป็น Wow Moment ที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกเหนือความคาดหมาย ซึ่งหัวใจสำคัญของการสร้างเพจด้วยคอนเทนต์ คือการ “สื่อสารอย่างเข้าใจ” ตรงกลุ่มเป้าหมาย ไอเดียเจ๋ง ให้ลูกค้าเห็นแค่แว๊บแรกแล้ว พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า แบรนด์นี้ทำถึง! ซึ่งแบรนด์ไหนที่ดำน้ำลงไปศึกษาภูเขาน้ำแข็งที่อยู่ใต้น้ำได้ ก็นับว่าเป็นแต้มต่อ สำหรับการต่อยอดในการทำการตลาดแขนงอื่นๆ ได้ด้วยเช่นกัน
Share on